วิชาวินัย ตอนที่ ๒

พระวินัย คือข้อบังคับและขนบธรรมเนียม สำหรับป้องกันความเสียหายและชักจูงให้ประพฤติดีงาม

ปาจิตตีย์  ๙๒  สิกขาบท
มุสาวาทวรรคที่  ๑  มี  ๑๐  สิกขาบท

๑.พูดปด  ต้องปาจิตตีย์
๒.ด่าภิกษุ  ต้องปาจิตตีย์
๓.ส่อเสียดภิกษุ  ต้องปาจิตตีย์
๔.ภิกษุสอนธรรมแก่อนุปสัมบัน  ถ้าว่าพร้อมกัน  ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์
๕.ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับอนุปสัมบัน  เกิน  ๓  คืนขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุนอนในที่มุงที่บังอันเดียวกันกับผู้หญิง  แม้ในคืนแรก  ต้องปาจิตตีย์
๗.ภิกษุแสดงธรรมแก่ผู้หญิง  เกินกว่า  ๖  คำขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์    
๘.ภิกษุบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง  แก่อนุปสัมบัน  ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ภิกษุขุดเองก็ดี  ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี  ซึ่งแผ่นดิน  ต้องปาจิตตีย์

ภูตคามวรรคที่  ๒  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่  ให้หลุดจากที่  ต้องปาจิตตีย์
๒.ภิกษุประพฤติอนาจาร  สงฆ์เรียกตัวมาถาม  แกล้งพูดกลบเกลื่อนก็ดี  นิ่งเสียไม่พูดก็ดี  ถ้าสงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ  ต้องปาจิตตีย์
๓.ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นที่สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทำการสงฆ์  ถ้าเธอทำโดยชอบ  ติเตียนเปล่า ๆ ต้องปาจิตตีย์
๔.ภิกษุเอาเตียง  ตั่ง  ฟูก  เก้าอี้  ของสงฆ์ไปตั้งในที่แจ้งแล้ว  เมื่อหลีกไปจากที่นั้น  ไม่เก็บเองก็ดี  ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี  ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี  ต้องปาจิตตีย์
๕.ภิกษุเอาที่นอนของสงฆ์ปูนอนในกุฎีสงฆ์แล้ว  เมื่อหลีกไปจากที่นั้น  ไม่เก็บเองก็ดี  ไม่ใช้ให้ผู้อื่นเก็บก็ดี  ไม่มอบหมายแก่ผู้อื่นก็ดี  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุรู้อยู่ว่า  กุฎีนี้มีผู้อยู่ก่อน  แกล้งไปนอนเบียด  ด้วยหวังจะให้ผู้อยู่ก่อนคับแคบใจเข้าก็จะหลีกไปเอง  ต้องปาจิตตีย์
๗.ภิกษุรู้โกรธเคืองภิกษุอื่น  ฉุดคร่าไล่ออกจากกุฎีสงฆ์  ต้องปาจิตตีย์
๘.ภิกษุนั่งทับก็ดี  นอนทับก็ดี  บนเตียงก็ดี  บนตั่งก็ดี  อันมีเท้าไม่ได้ตรึงแน่น  ซึ่งเขาวางไว้บนร้านที่เขาเก็บของในกุฎี  ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุจะเอาดินหรือปูนโบกหลังคากุฎี  พึงโบกได้แต่เพียง  ๓  ชั้น  ถ้าโบกเกินกว่านั้น  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ภิกษุรู้ว่า  น้ำมีตัวสัตว์  เอารดหญ้าหรือดิน  ต้องปาจิตตีย์

โอวาทวรรคที่  ๓  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.ภิกษุที่สงฆ์ไม่ได้สมมติ  สั่งสอนนางภิกษุณี  ต้องปาจิตตีย์
๒.แม้ภิกษุที่สงฆ์สมมติแล้ว  ตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้วไป  สอนนางภิกษุณี  ต้องปาจิตตีย์
๓.ภิกษุเข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงในที่อยู่  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่นางภิกษุณีเจ็บ
๔.ภิกษุติเตียนภิกษุอื่นว่า  สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ  ต้องปาจิตตีย์
๕.ภิกษุให้จีวรแก่นางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน
๖.ภิกษุเย็บจีวรของนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติก็ดี  ใช้ให้ผู้อื่นเย็บก็ดี  ต้องปาจิตตีย์
๗.ภิกษุชวนนางภิกษุณีเดินทางด้วยกัน  แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่งต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่ทางเปลี่ยว
๘.ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน  ขึ้นน้ำก็ดี  ล่องน้ำก็ดี  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่ข้ามฟาก
๙.ภิกษุรู้อยู่ฉันของเคี้ยวของฉัน  ที่นางภิกษุณีบังคับให้คฤหัสถ์เขาถวาย  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่คฤหัสถ์เขาเริ่มไว้ก่อน
๑๐.ภิกษุนั่งก็ดี  นอนก็ดี  ในที่ลับสองต่อสอง  กับนางภิกษุณี  ต้องปาจิตตีย์
    
โภชนวรรคที่  ๔  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.อาหารในโรงทานที่ทั่วไปไม่นิยมบุคคล  ภิกษุไม่เจ็บไข้  ฉันได้แต่เฉพาะวันเดียวแล้ว  ต้องหยุดเสียในระหว่าง ต่อไปจึงฉันได้อีก  ถ้าฉันติด ๆ กัน  ตั้งแต่สองวันขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์
๒.ถ้าทายกเขามานิมนต์  ออกชื่อโภชนะทั้ง  ๕  อย่าง  คือข้าวสุก  ขนมสด  ขนมแห้ง  ปลา  เนื้อ  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าไปรับของนั้นมา  หรือฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่  ๔  รูปขึ้นไป  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่สมัย  คือ  เป็นไข้อย่าง  ๑  หน้าจีวรกาลอย่าง  ๑  เวลาทำจีวรอย่าง  ๑ เดินทางไกลอย่าง  ๑  ไปทางเรืออย่าง  ๑  อยู่มากด้วยกันบิณฑบาตไม่พอฉันอย่าง ๑  โภชนะเป็นของสมณะอย่าง  ๑.
๓.ภิกษุรับนิมนต์แห่งหนึ่ง  ด้วยโภชนะ  ๕  อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว  ไม่ไปฉันในที่นิมนต์นั้น  ไปฉันเสียที่อื่น  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่ยกส่วนที่รับไว้ก่อนนั้นให้แกภิกษุอื่นเสีย  หรือหน้าจีวรกาลและเวลาทำจีวร
๔.ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน  ทายกเขาเอาขนมมาถวายเป็นอันมาก  จะรับได้เป็นอย่างมากเพียง  ๓  บาตรเท่านั้น  ถ้ารับให้เกินกว่านั้น  ต้องปาจิตตีย์  ของที่รับมามากเช่นนั้น  ต้องแบ่งให้แก่ภิกษุอื่น
๕.ภิกษุฉันค้างอยู่  มีผู้เอาโภชนะทั้ง  ๕  อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาประเคน  ห้ามเสียแล้ว  ลุกจากที่นั่งนั้นแล้ว  ฉันของเคี้ยวของฉันซึ่งไม่เป็นเดนภิกษุไข้  หรือไม่ได้ทำวินัยกรรม  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุรู้อยู่ว่า  ภิกษุอื่นห้ามข้าวแล้ว (ตามสิกขาบทหลัง)  คิดจะยกโทษเธอ  แกล้งเอาของเคี้ยวของฉันที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้  ไปล่อให้เธอฉัน  ถ้าเธอฉันแล้ว  ต้องปาจิตตีย์
๗.ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล  คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงวันใหม่  ต้องปาจิตตีย์
๘.ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารซึ่งรับประเคนไว้ค้างคืน  ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุขอโภชนะอันประณีต  คือข้าวสุก  ระคนด้วยเนยใส  เนยข้น  น้ำมัน  น้ำผึ้ง  น้ำอ้อย  ปลา  เนื้อ  นมสด  นมส้ม  ต่อคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา  เอามาฉัน  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ภิกษุกลืนกินอาหารที่ไม่มีผู้ให้  คือยังไม่ได้รับประเคน  ให้ล่วงทวารปากเข้าไป  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่น้ำและไม้สีฟัน

อเจลกวรรคที่  ๕  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.ภิกษุให้ของเคี้ยวของฉัน  แก่นักบวชนอกศาสนา  ด้วยมือตน  ต้องปาจิตตีย์
๒.ภิกษุชวนภิกษุอื่นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน  หวังจะประพฤติอนาจาร  ไล่เธอกลับมาเสีย  ต้องปาจิตตีย์
๓.ภิกษุสำเร็จการนั่งแทรกแซง  ในสกุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่  ต้องปาจิตตีย์
๔.ภิกษุนั่งอยู่ในห้องกับผู้หญิง  ไม่มีผู้ชายอื่นอยู่เป็นเพื่อน  ต้องปาจิตตีย์
๕.ภิกษุนั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุรับนิมนต์ด้วยโภชนะ  ๕  แล้ว  จะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้น  ในเวลาก่อนฉันก็ดี  ฉันกลับมาแล้วก็ดี  ต้องลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดก่อนจึงจะไปได้  ถ้าไม่ลาก่อนเที่ยวไป  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่สมัย  คือจีวรกาล  และเวลาทำจีวร
๗.ถ้าเขาปวารณาด้วยปัจจัยสี่เพียง  ๔  เดือน  พึงขอเขาได้เพียงกำหนดนั้นเท่านั้น  ถ้าขอให้เกินกว่ากำหนดนั้นไป  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก  หรือปวารณาเป็นนิตย์
๘.ภิกษุไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่มีเหตุ
๙.ถ้าเหตุที่ต้องไปมีอยู่  พึงไปอยู่ในกองทัพเพียง  ๓  วัน  ถ้าอยู่ให้เกินกว่ากำหนดนั้น  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ในเวลาที่อยู่ในกองทัพตามกำหนดนั้น  ถ้าไปดูเขารบกันก็ดี  หรือดูเขาตรวจพลก็ดี  ดูเขาจัดกระบวนทัพก็ดี  ดูหมู่เสนาที่จัดเป็นกระบวนแล้วก็ดี  ต้องปาจิตตีย์

สุราปานวรรคที่  ๖  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.ภิกษุดื่มน้ำเมา  ต้องปาจิตตีย์
๒.ภิกษุจี้ภิกษุ  ต้องปาจิตตีย์
๓.ภิกษุว่ายน้ำเล่น  ต้องปาจิตตีย์
๔.ภิกษุแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย  ต้องปาจิตตีย์
๕.ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุไม่เป็นไข้  ติดไฟให้เป็นเปลวเองก็ดี  ใช้ให้ผู้อื่นติดก็ดี  เพื่อจะผิง  ต้องปาจิตตีย์  ติดเพื่อเหตุอื่น  ไม่เป็นอาบัติ
๗.ภิกษุอยู่ในมัชฌิมประเทศ  คือจังหวัดกลางแห่งประเทศอินเดีย  ๑๕  วัน  จึงอาบน้ำได้หนหนึ่ง  ถ้ายังไม่ถึง  ๑๕  วันอาบน้ำ  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่มีเหตุจำเป็น  ในปัจจันตประเทศ  เช่นประเทศเรา  อาบน้ำได้เป็นนิตย์  ไม่เป็นอาบัติ
๘.ภิกษุได้จีวรใหม่มา  ต้องพินทุด้วยสี  ๓  อย่าง  คือเขียว  คราม  โคลน  ดำคล้ำ  อย่างใดอย่างหนึ่งก่อน  จึงนุ่งห่มได้ถ้าไม่ทำพินทุก่อนแล้วนุ่งห่ม  ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุวิกัปจีวรแก่ภิกษุหรือสามเณรแล้ว  ผู้รับยังไม่ได้ถอนนุ่งห่มจีวรนั้น  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ภิกษุซ่อนบริขาร  คือ  บาตร  จีวร  ผ้าปูนั่ง  กล่องเข็ม  ประคดเอว  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง  ของภิกษุอื่น  ด้วยคิดว่าจะล้อเล่น  ต้องปาจิตตีย์

สัปปาณวรรคที่  ๗  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.ภิกษุแกล้งฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน  ต้องปาจิตตีย์
๒.ภิกษุรู้อยู่ว่า  น้ำมีตัวสัตว์  บริโภคน้ำนั้น  ต้องปาจิตตีย์
๓.ภิกษุรู้อยู่ว่า  อธิกรณ์นี้สงฆ์ทำแล้วโดยชอบ  เลิกถอนเสียกลับทำใหม่  ต้องปาจิตตีย์
๔.ภิกษุรู้อยู่  แกล้วปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์
๕.ภิกษุรู้อยู่  เป็นอุปัชฌายะอุปสมบทกุลบุตรผู้มีอายุหย่อนกว่า  ๒๐  ปี  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุรู้อยู่  ชวนพ่อค้าผู้ซ่อนภาษีเดินทางด้วยกัน  แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง  ต้องปาจิตตีย์
๗.ภิกษุชวนผู้หญิงเดินทางด้วยกัน  แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง  ต้องปาจิตตีย์
๘.ภิกษุกล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า  ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง สงฆ์สวดประกาศข้อความนั้นจบ  ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุคบภิกษุเช่นนั้น  คือร่วมกินก็ดี  ร่วมอุโบสถสังฆกรรมก็ดี  ร่วมนอนก็ดี  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.ภิกษุเกลี้ยกล่อมสามเณรที่ภิกษุอื่นให้ฉิบหายแล้ว  เพราะโทษที่กล่าวคัดค้านธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า  ให้เป็นผู้อุปัฏฐากก็ดี  ร่วมกินก็ดี  ร่วมนอนก็ดี  ต้องปาจิตตีย์

สหธรรมสิกวรรคที่  ๘  มี  ๑๒  สิกขาบท
๑.ภิกษุประพฤติอนาจาร  ภิกษุอื่นตักเตือน  พูดผัดเพี้ยนว่า  ยังไม่ได้ถามท่านผู้รู้ก่อน  ข้าพเจ้าจักไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้  ต้องปาจิตตีย์
๒.ภิกษุอื่นท่องปาติโมกข์อยู่  ภิกษุแกล้งพูดให้เธอคลายอุตสาหะ  ต้องปาจิตตีย์
๓.ภิกษุต้องอาบัติแล้วแกล้งพูดว่า  ข้าพเจ้าพึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า  ข้อนี้มาในพระปาติโมกข์  ถ้าภิกษุอื่นรู้อยู่ว่า  เธอเคยรู้มาก่อนแล้วแต่แกล้งพูดกันเขาว่า  พึงสวดประกาศความข้อนั้น  เมื่อสงฆ์สวดประกาศแล้ว  แกล้งทำไม่รู้อีก  ต้องปาจิตตีย์
๔.ภิกษุโกรธ  ให้ประหารแก่ภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์
๕.ภิกษุโกรธ  เงื้อมือดุจให้ประหารแก่ภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์
๖.ภิกษุโจทก์ฟ้องภิกษุอื่น  ด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล  ต้องปาจิตตีย์
๗.ภิกษุแกล้งก่อความรำคาญให้เกิดแก่ภิกษุอื่น  ต้องปาจิตตีย์
๘.เมื่อภิกษุวิวาทกันอยู่  ภิกษุไปแอบฟังความ  เพื่อจะได้รู้ว่า  เขาว่าอะไรตนหรือพวกของตน  ต้องปาจิตตีย์
๙.ภิกษุให้ฉันทะ  คือความยอมให้ทำสังฆกรรมที่เป็นธรรมแล้ว  ภายหลังกลับติเตียนสงฆ์ผู้ทำกรรมนั้น  ต้องปาจิตตีย์
๑๐.เมื่อสงฆ์กำลังประชุมกันตัดสินข้อความข้อหนึ่ง  ภิกษุใดอยู่ในที่ประชุมนั้น  จะหลีกไปในขณะที่ตัดสินข้อนั้นยังไม่เสร็จ  ไม่ให้ฉันทะก่อนลุกไปเสีย  ต้องปาจิตตีย์
๑๑.ภิกษุพร้อมกับสงฆ์ให้จีวรเป็นบำเหน็จ  แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแล้ว  ภายหลังกลับติเตียนภิกษุอื่นว่า  ให้เพราะเห็นแก่หน้ากัน  ต้องปาจิตตีย์
๑๒.ภิกษุรู้อยู่  น้อมลาภที่ทายกเขาตั้งใจจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล  ต้องปาจิตตีย์

รตนวรรคที่  ๙  มี  ๑๐  สิกขาบท
๑.ภิกษุไม่ได้รับอนุญาตก่อน  เข้าไปในห้องที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จอยู่กับพระมเหสี  ต้องปาจิตตีย์
๒.ภิกษุเห็นเครื่องบริโภคของคฤหัสถ์ตกอยู่  ถือเอาเป็นของเก็บได้เองก็ดี  ให้ผู้อื่นถือเอาก็ดี  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่ของนั้นตกอยู่ในวัด  หรือในที่อาศัย  ต้องเก็บไว้ให้แก่เจ้าของ  ถ้าไม่เก็บ  ต้องทุกกฏ
๓.ภิกษุไม่บอกลาภิกษุอื่นที่มีอยู่ในวัดก่อน  เข้าไปในบ้านในเวลาวิกาล  ต้องปาจิตตีย์  เว้นไว้แต่การด่วน
๔.ภิกษุทำกล่องเข็ม  ด้วยกระดูกก็ดี  ด้วยงาก็ดี  ด้วยเขาก็ดี  ต้องปาจิตตีย์  ต้องต่อยกล่องนั้นเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก
๕.ภิกษุทำเตียงหรือตั่ง  พึงทำให้มีเท้าเพียง  ๘  นิ้วพระสุคต  เว้นไว้แต่แม่แคร่  ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้  ต้องปาจิตตีย์  ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก
๖.ภิกษุทำเตียงหรือตั่งหุ้มนุ่น  ต้องปาจิตตีย์  ต้องรื้อเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก
๗.ภิกษุทำผ้าปูนั่ง  พึงทำให้ได้ประมาณ  ประมาณนั้นยาว  ๒  คืบพระสุคต  กว้างคืบครึ่ง  ชายคืบหนึ่ง  ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้  ต้องปาจิตตีย์  ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก
๘.ภิกษุทำผ้าปิดแผล  พึงทำให้ได้ประมาณ  ประมาณนั้นยาว  ๔  คืบพระสุคต  กว้าง  ๒  คืบ  ถ้าทำให้เกินกำหนดนี้  ต้องปาจิตตีย์  ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก
๙.ภิกษุทำผ้าอาบน้ำฝน  พึงทำให้ได้ประมาณ  ประมาณนั้น  ยาว  ๖  คืบพระสุคต  กว้าง  ๒  คืบครึ่ง  ถ้าทำให้เกินประมาณกำหนดนี้  ต้องปาจิตตีย์  ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก
๑๐.ภิกษุทำจีวรให้เท่าจีวรพระสุคตก็ดี  เกินกว่านั้นก็ดี  ต้องปาจิตตีย์  ประมาณจีวรพระสุคตนั้น  ยาว  ๙  คืบพระสุคต  กว้าง  ๖  คืบ  ต้องตัดให้ได้ประมาณเสียก่อน  จึงแสดงอาบัติตก

ปาฏิเทสนียะ  ๔
๑.ภิกษุรับของเคี้ยวของฉันแต่มือนางภิกษุณีที่ไม่ใช่ญาติ  ด้วยมือตนมาบริโภค  ต้องปาฏิเทสนียะ
๒.ภิกษุฉันอยู่ในที่นิมนต์  ถ้ามีนางภิกษุณีมาสั่งทายกให้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาถวาย  เธอพึงไล่นางภิกษุณีนั้นให้ถอยไปเสีย  ถ้าไม่ไล่  ต้องปาฏิเทสนียะ
๓.ภิกษุไม่เป็นไข้  เขาไม่ได้นิมนต์  รับของเคี้ยวของฉันในตระกูลที่สงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ  มาบริโภค  ต้องปาฏิเทสนียะ
๔.ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเป็นที่เปลี่ยว  ไม่เป็นไข้  รับของเคี้ยวของฉัน  ที่ทายกไม่ได้แจ้งความให้ทราบก่อน  ด้วยมือของตนมาบริโภค  ต้องปาฏิเทสนียะ

เสขิยวัตร
วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษาเรียกว่า  เสขิยวัตรนั้น  จัดเป็น  ๔  หมวด  หมวดที่  ๑  เรียกว่าสารูป  หมวดที่  ๒  เรียกว่าโภชนปฏิสังยุต  หมวดที่  ๓  เรียกว่าธัมมเทสนาปฏิสังยุต  หมวดที่  ๔  เรียกว่าปกิณณกะ รวม ๗๕  สิกขาบท
สารูปที่  ๑  มี  ๒๖
๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักนุ่ง  ให้เรียบร้อย
๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักห่ม  ให้เรียบร้อย
๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักปิดกายด้วยดีไป  ในบ้าน
๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักปิดกายด้วยดีนั่ง  ในบ้าน
๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักระวังมือเท้าด้วยดีไป  ในบ้าน
๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักระวังมือเท้าด้วยดีนั่ง  ในบ้าน
๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักมีตาทอดลงไป  ในบ้าน
๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักมีตาทอดลงนั่ง  ในบ้าน
๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เวิกผ้าไป  ในบ้าน
๑๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เวิกผ้านั่ง  ในบ้าน
๑๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่หัวเราะไป  ในบ้าน
๑๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่หัวเราะนั่ง  ในบ้าน
๑๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่พูดเสียงดังไป  ในบ้าน
๑๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่พูดเสียงดังนั่ง  ในบ้าน
๑๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่โคลงกายไป  ในบ้าน
๑๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่โคลงกายนั่ง  ในบ้าน
๑๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ไกวแขนไป  ในบ้าน
๑๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ไกวแขนนั่ง  ในบ้าน
๑๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่สั่นศรีษะไป  ในบ้าน
๒๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่สั่นศรีษะนั่ง  ในบ้าน
๒๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอามือค้ำกายไป  ในบ้าน
๒๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอามือค้ำกายนั่ง  ในบ้าน
๒๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอาผ้าคลุมศรีษะไป  ในบ้าน
๒๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอาผ้าคลุมศรีษะนั่ง  ในบ้าน
๒๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เดินกระโหย่งเท้าไป  ในบ้าน
๒๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่นั่งรัดเข่า  ในบ้าน
สารูปทั้ง  ๒๖  สิกขาบทนี้ภิกษุไม่เอื้อเฟื้อต้องทุกกฏเสมอกัน  ถ้าไม่แกล้ง  เผลอ  ไม่รู้ตัว  หรืออาพาธ  เหล่านี้ไม่เป็นอาบัติ

โภชนปฏิสังยุตที่  ๒  มี  ๓๐
๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักรับบิณฑบาตโดยเคารพ
๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อรับบิณฑบาต  เราจักแลดูแต่ในบาตร
๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักรับแก่งพอสมควรแก่ข้าวสุก
๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักรับบิณฑบาตพอเสมอขอบปากบาตร
๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักฉันบิณฑบาตโดยเคารพ
๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อฉันบิณฑบาต  เราจักแลดูแต่ในบาตร
๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ขุดข้าวสุกให้แหว่ง
๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักฉันแกงพอสมควรแก่ข้าวสุก
๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ขยุ้มข้าวสุกแต่ยอดลงไป
๑๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่กลบแกงหรือกับข้าวด้วยข้าวสุก  เพราะอยากจะได้มาก
๑๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เจ็บไข้  จักไม่ขอแกงหรือข้าวสุก  เพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน
๑๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
๑๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่นัก
๑๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อคำข้าวยังไม่ถึงปาก  เราจักไม่อ้าปากไว้ท่า
๑๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อฉันอยู่  เราจักไม่เอานิ้วมือสอดเข้าปาก
๑๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เมื่อข้าวอยู่ในปาก  เราจักไม่พูด
๑๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่โยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าวให้ตกลงในบาตรหรือในที่นั้น ๆ 
๒๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันดังจับ ๆ
๒๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันดังซูด ๆ
๒๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันเลียมือ
๒๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันขอดบาตร
๒๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน
โภชนปฏิสังยุตทั้งหมด  ถ้าไม่เอื้อเฟื้อ  ต้องทุกกฏ  เสมอกัน  ไม่แกล้งเผลอ  ไม่รู้ตัว  หรืออาพาธ  เหล่านี้ไม่เป็นอาบัติ

ธัมมเทสนาปฏิสังยุตที่  ๓  มี  ๑๖
๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีร่มในมือ
๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีไม้พลองในมือ
๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีศัสตราในมือ
๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  มีอาวุธในมือ
๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  สวมเขียงเท้า
๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  สวมรองเท้า
๗.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  ไปในยาน
๘.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  อยู่บนที่นอน
๙.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  นั่งรัดเข่า
๑๐.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  พันศรีษะ
๑๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  คลุมศรีษะ
๑๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เรานั่งอยู่บนแผ่นดิน  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้  นั่งบนอาสนะ  
๑๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เรานั่งบนอาสนะต่ำ  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้นั่งบนอาสนะสูง
๑๔.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เรายืนอยู่  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้เดินทาง
๑๕.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราเดินไปข้างหลัง  จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้เดินไปข้างหน้า
๑๖.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราเดินไปนอกทางจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้ไปในทาง
ธัมมเทศนาปฏิสังยุตนี้  ถ้าไม่เอื้อเฟื้อต้องทุกกฏ  เสมอกัน  ไม่แกล้งเผลอ  ไม่รู้ตัว  หรืออาพาธ  เหล่านี้ไม่เป็นอาบัติ

ปกิณณกะที่  ๔  มี  ๓
๑.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เป็นไข้  จักไม่ยืนถ่ายอุจจาระ  ถ่ายปัสสาวะ
๒.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เป็นไข้  จักไม่ถ่ายอุจจาระ  ถ่ายปัสสาวะ  บ้วนเขฬะ  ลงในของเขียว
๓.ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า  เราไม่เป็นไข้  จักไม่ถ่ายอุจจาระ  ถ่ายปัสสาวะ  บ้วนเขฬะ  ลงในน้ำ
ปกิณณกะ  หมวดนี้  ถ้าไม่เอื้อเฟื้อต้องทุกกฏเสมอกัน  ไม่แกล้ง  เผลอ  ไม่รู้ตัว  หรืออาพาธ  เหล่านี้ไม่เป็นอาบัติ

อธิกรณ์มี  ๔
๑.ความเถียงกันว่า  สิ่งนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย  สิ่งนี้ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย  เรียกว่าวิวาทาธิกรณ์
๒.ความโจทกันด้วยอาบัตินั้น ๆ เรียกว่าอนุวาทาธิกรณ์
๓.อาบัติทั้งปวง  เรียกว่าอาปัตตาธิกรณ์
๔.กิจที่สงฆ์จะพึงทำ  เรียกกิจจาธิกรณ์

อธิกรณสมถะมี  ๗
ธรรมเครื่องระงับอธิกรณ์ทั้ง  ๔  นั้น  เรียกอธิกรณสมถะ  มี  ๗  อย่างคือ
๑.ความระงับอธิกรณ์ทั้ง  ๔  นั้น   ในที่พร้อมหน้าสงฆ์  ในที่พร้อมหน้าบุคคล  ในที่พร้อมหน้าวัตถุ  ในที่พร้อมหน้าธรรม  เรียกสัมมุขาวินัย
๒.ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ว่า  เป็นผู้มีสติเต็มที่  เพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติ  เรียกสติวินัย
๓.ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่ภิกษุ  ผู้หายเป็นบ้าแล้วเพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติที่เธอทำในเวลาเป็นบ้า  เรียกอมูฬหวินัย
๔.ความปรับอาบัติตามปฏิญญาของจำเลยผู้รับเป็นสัตย์  เรียกปฏิญญาตกรณะ
๕.ความตัดสินเอาตามคำของคนมากเป็นประมาณ  เรียกเยภุยยสิกา
๖.ความลงโทษแก่ผู้ผิด  เรียกตัสสปาปิยสิกา
๗.ความให้ประนีประนอมกันทั้ง  ๒  ฝ่าย  ไม่ต้องชำระความเดิมเรียก  ติณวัตถารกวินัย
สิกขาบทนอกนี้  ที่ยกขึ้นมาเป็นอาบัติถุลลัจจัยบ้าง  ทุกกฏบ้าง  ทุพภาสิตบ้าง  เป็นสิกขาไม่ได้มาในพระปาติโมกข์

การระงับอธิกรณ์
๑.วิวาทาธิกรณ์  ระงับด้วย  ๒  อย่างคือ  สัมมุขาวินัย  และเยภุยยสิกา
๒.อนุวาทาธิกรณ์  ระงับด้วย  ๔  อย่างคือ  สัมมุขาวินัย  สติวินัย  อมูฬหวินัย  และตัสสปาปิยสิกา
๓.อาปัตตาธิกรณ์  ระงับด้วย  ๓  อย่างคือ  สัมมุขาวินัย  ปฏิญญาตกรณะ  และติณวัตถารกวินัย
๔.กิจจาธิกรณ์  ระงับด้วยอย่างเดียวคือ  สัมมุขาวินัย

กัณฑ์ที่  ๑๐
มาตราเวลา
มาตราเวลานี้  หมายเอาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นวันนี้  ไปจนอรุณขึ้นวันใหม่  เป็นวันหนึ่ง
๑๔      วันบ้าง  ๑๕  วันบ้าง    เป็น      ๑  ปักษ์
๒        ปักษ์                        เป็น      ๑  เดือน
๔        เดือน                        เป็น      ๑  ฤดู
๓        ฤดู                           เป็น      ๑  ปี

มาตราวัด
มาตราวัดนี้  คือการวัดระยะยาว  หรือสั้น  กว้าง  หรือแคบ  เป็นต้น  โดยใช้มาตราวัดดังนี้  คือ
๗    เมล็ดข้าว                    เป็น     ๑  นิ้ว
๑๒    นิ้ว                           เป็น    ๑  คืบ
๒      คืบ                          เป็น    ๑  ศอก
๔      ศอก                        เป็น    ๑  วา
๒๕    วา                          เป็น    ๑  อสุภ
๘๐    อสุภ                       เป็น     ๑  คาวุต
๔      คาวุต                      เป็น    ๑  โยชน์

มาตรวัดอีกอย่างหนึ่ง  ซึ่งใช้เป็นเครื่องกำหนดระยะแห่งเสนาสนะป่า  มีดังนี้
๔        ศอก                     เป็น    ๑  ธนู
๕๐๐    ธนู                       เป็น    ๑  โกสะ  (๒๕  เส้น)
๔       โกสะ                     เป็น    ๑  คาวุต
๔       คาวุต                    เป็น    ๑  โยชน์

มาตราตวง
มาตราตวงนี้  คือการวัด  หรือตวงสิ่งของหรือวัตถุที่เป็นจำนวน  เช่นน้ำ  และข้าว เป็นต้น  มีดังนี้
๔    มุฏฐิ  คือกำมือ        เป็น    ๑  กุฑวะ  คือฝายมือ
๒    กุฑวะ                   เป็น    ๑  ปัตถะ  คือกอบ
๒    ปัตถะ                   เป็น    ๑  นาฬี  คือทะนาน
๔    นาฬี                    เป็น    ๑  อาฬหก

มาตราชั่ง
มาตราชั่งนี้  คือมาตราสำหรับวัดน้ำหนักของสิ่งของต่าง ๆ ว่ามีน้ำหนักเป็นเช่นไร
มาตราสำหรับใช้ชั่งของอื่นจากเงินและทอง  มีดังนี้
๔     เมล็ดข้าวเปลือก        เป็น    ๑  กุญชา
๒     กุญชา                     เป็น    ๑  มาสก
๕     มาสก                     เป็น    ๑  อักขะ
๘     อักขะ                     เป็น    ๑  ธรณะ
๑๐    ธรณะ                     เป็น    ๑  ปะละ
๑๐๐  ปะละ                    เป็น    ๑  ตุลา
๒๐    ตุลา                     เป็น    ๑  ภาระ

มาตราสำหรับใช้ชั่งเงินทองอันมิใช่รูปิยะ  มีดังนี้
๔    เมล็ดข้าวเปลือก      เป็น    ๑  กุญชา
๒    กุญชา                   เป็น    ๑  มาสก
๕    มาสก                   เป็น    ๑  อักขะ
๘    อักขะ                   เป็น    ๑  ธรณะ
๕    ธรณะ                   เป็น    ๑  สุวัณณะ
๕    สุวัณณะ                เป็น    ๔  นิกขะ

มาตรารูปิยะ
มาตรารูปิยะนี้  สำหรับกำหนดตีราคาสินค้า  ใช้กหาปณะเป็นหลัก  ในการนับมีดังนี้
๕    มาสก                   เป็น    ๑  บาท
๔    บาท                    เป็น    ๑  กหาปณะ


26 July 2018

วัดนิคมสโมสร(บางคลี)